top of page

เสริม สุก ใส ชื่อองค์หญิงหรือชื่อพระ ?

  • Writer: สมเกียรติ์ ศรีพธูราษฎร์
    สมเกียรติ์ ศรีพธูราษฎร์
  • Apr 4, 2020
  • 1 min read

⬛️ ตำนานเมื่อ ปีพ.ศ. ๒๑๐๕ (๔๕๘ ปีที่ผ่านมา) พระเจ้าองค์ตื้อ พระเสริม พระสุก พระใส


ในปี พ.ศ. ๒๑๐๕ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเจ้า มหาราชลาวได้มีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ที่ทรงสร้างพระใหญ่องค์ตื้อไว้ที่เมืองเวียงจันทน์ โดยได้ชักชวนคณะผู้ศรัทธารวม ๘ คน สร้างพระพุทธรูปใหญ่หน้าตัก กว้าง ๓ เมตร สูง ๔ เมตร และได้ถวายพระนามว่า”พระเจ้าองค์ตื้อ” บุคคลผู้ร่วมจัดสร้างพระพุทธรูปดังกล่าวมี ๘ ท่าน คือ

.

๑.พระเจ้าไชยเชษฐา

๒.ท้าวอินทราธิราราช

๓.ท้าวเสนากัสสะปะ

๔.ท้าวอินทร

๕.ท้าวเศษสุวรรณ

๖.ท้าวพระยาศรี

๗.ท้าวดามแดงทิพย์

๘.ท้าวอินสรไกรยสิทธิ์

รวมเป็นคน ๑๒ ภาษา(๘ คนพูดได้ ๑๒ ภาษา) ร่วมกันสร้าง ”พระเจ้าองค์ตื้อ” โดยพระเจ้าไชยเชษฐานทรงเทหล่อด้วยพระองค์เอง

.

ได้ใช้เงินในการจัดสร้างพระพุทธรูป”พระเจ้าองค์ตื้อ” ถึง ๑๐๕,๐๐๐ ชั่งในสมัยนั้น ว่ากันว่าเมื่อหล่อเสร็จแล้ว มีอภินิหารถึงความศักดิ์สิทธิ์ถึง ๑๐๐ ประสบการณ์


⬛️ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช มีพระราชธิดา ๓ พระองค์ องค์โตพระนามว่าเสริม องค์กลางพระนามว่าสุก องค์เล็กพระนามว่าใส ก็ทรงฉลองพระราชศรัทธาตามเสด็จพระบรมชนกนาถ สร้างพระพุทธรูปงดงามขึ้น ๓ องค์

.

พิธีการหล่อพระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์นั้น พระภิกษุและฆราวาสช่วยกันทำการสูบเตาหลอมทองอยู่ตลอดถึง๗ วัน แต่ทองก็ยังไม่ละลาย พอถึงวันที่ ๘ มีเพียงพระภิกษุสูงอายุรูปหนึ่งกับสามเณรรูปหนึ่งสูบเตาอยู่ ก็ปรากฏมีชีปะขาวคนหนึ่งมาอาสาสูบเตาแทนพระและเณร แต่วันนั้นญาติโยมต่างเห็นบรรดาชีปะขาวสูบเตาอยู่เป็นจำนวนมาก

เมื่อพระภิกษุและสามเณรฉันเพลเสร็จแล้วก็จะไปสูบเตาต่อ ปรากฏว่าได้มีผู้เททองลงเบ้าทั้ง ๓ จนเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่เห็นชีปะขาวอยู่แม้แต่คนเดียว การหล่อพระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ สำเร็จลงด้วยดีอย่างน่าอัศจรรย์ พระราชธิดาเสริม สุก และใส ต่างถวายนามของตนเป็นนามของพระพุทธรูป ได้แก่ พระเสริมเป็นพระพุทธรูปประจำพระราชธิดาองค์พี่ พระสุกเป็นพระพุทธรูปประจำพระราชธิดาองค์กลาง และพระใสเป็นพระพุทธรูปประจำพระราชธิดาองค์สุดท้อง



⬛️ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ ๓) ยกกระบัตรเมืองนครราชสีมา ข้าราชการสยามเบียดเบียนชาวข่าจับมาเป็นทาส ได้ความเดือดร้อนหลายครั้ง เจ้าอนุวงศ์ เวียงจันทน์ ตั้งพระทัยจะประกาศอิสรภาพจากสยาม เกิดเป็นศึกใหญ่ขึ้นระหว่างกรุงรัตนโกสินทร์และเวียงจันทน์

.

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ ๓)ทรงโปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพหน้ายกไปปราบปรามกองทัพลาว ในที่สุดท่านได้ปราบปรามกองทัพลาวและสามารถยกเข้าเมืองนครจำปาศักดิ์ได้สำเร็จ

.

หลังจากเสร็จศึกแล้ว เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯได้อัญเชิญพระเสริม พระสุก พระใส จากเมืองเวียงจันทน์


🔳มีเรื่องเล่าเป็นตำนานต่อกันมาว่า :

.

พบพระพุทธรูปในถ้ำแห่งหนึ่งบนภูเขาควาย (เนื่องจากชาวเมืองได้นำไปซ่อนไว้เพื่อหนีภัยสงคราม) จึงนำขึ้นประดิษฐานบนแพไม้ไผ่อัญเชิญมาทางลำน้ำงึมออกลำน้ำโขง เมื่อถึงบริเวณปากน้ำงึมเฉียงกับบ้านหนองกุ้งเมืองหนองคาย (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอโพนพิสัย) เกิดพายุฝนตกหนักพัดแท่นที่ประดิษฐานพระสุกจมน้ำ สถานที่นั้นต่อมาจึงเรียกว่า “เวินแท่น” และในที่ใกล้ ๆ กันองค์พระสุกจมก็หายไปในแม่น้ำโขง และสถานที่นั้นต่อมาเรียกว่า “เวินพระสุก” หรือ “เวินสุก” ส่วนพระเสริมและพระใสได้ อัญเชิญมาถึงเมืองหนองคายอย่างปลอดภัย

.

พระเสริมนั้นประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย ส่วนพระใสประดิษฐานอยู่ที่วัดหอก่อง (วัดประดิษฐ์ธรรมคุณ) ต่อมายุครัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอุปราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์สมัยนั้น พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะอัญเชิญพระเสริมมาประดิษฐานยังพระบวรราชวัง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและข้าหลวง (เหม็น) ไปอัญเชิญพระเสริมและพระใสมายังพระนคร เมื่อครั้งอัญเชิญพระเสริมและพระใสมายังพระนครนั้น กล่าวกันว่าพระใสแสดงปาฏิหาริย์ เกวียนที่ประดิษฐานพระใสหักลงตรงหน้าวัดโพธิ์ชัย ซ่อมอีกก็หักอีก วัวลากเกวียนไม่ยอมเดิน ทั้งเชิญและบวงสรวงก็ไม่เป็นผล สุดท้ายทหารจึงอัญเชิญพระใสประดิษฐานที่วัดโพธิ์ชัยแทน ส่วนพระเสริมอัญเชิญไปกรุงเทพฯ โปรดฯให้ประดิษฐานไว้ที่วัดปทุมวนาราม

ส่วนพระสุกนั้น มีตำนานเล่าว่า ช่วงปี พ.ศ.๒๔๖๗ พระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตต์ ปลัดมณฑลอุดร (ต่อมาได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอุดร) นำนักโทษประหารคดีเด็ดขาด ๘ คน ตกลงว่าหากลงงมพระสุกขึ้นมาได้ จะละเว้นโทษประหารให้ นักโทษทั้ง ๘ ลงไปงมก็ได้พระสุกขึ้นจากน้ำ พระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตต์ปกปิดเป็นความลับไว้ ด้วยเกรงว่าพระสุกจะต้องถูกส่งลงไปกรุงเทพฯ

.

เนื่องจากพระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตต์เติบโตมาจากวัดศรีธรรมหายโศก (วัดศรีธรรมาราม จ.ยโสธร) พระอาจารย์มี คำภีโร บิดาได้บวชอยู่ที่นี่ พระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตต์ เคยอุปสมบทเป็นสามเณรที่วัดนี้ เมื่ออายุได้ ๑๒ ปี ก่อนจะเข้ากรุงเทพฯ สอบเปรียญธรรม สึกเป็นฆราวาส แล้วถวายตัวสนองงานใกล้ชิด สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย จนได้เป็นปลัดมณฑลอุดรดังกล่าว พระยาอุดรธานีโขมสาครจึงได้นำพระพุทธรูปองค์ที่งมได้นี้กลับมาเมืองยโสธรและถวายให้กับวัดศรีธรรมหายโศก ให้ชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ว่า พระคัมภีรพุทธเจ้า สนองคุณบิดา


⬛️ ต่อมาได้นำเรื่องนี้เล่าถวายสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ สมเด็จกรมพระยาฯ ได้เสด็จมาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองใน คราวเสด็จตรวจหัวเมืองมณฑลอีสาน พร้อมทั้งทรงเปลี่ยนชื่อวัดเป็น วัดอโศการาม ต่อมาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ประทานชื่อใหม่เป็นวัดสร่างโศกเกษมสันต์ แล้วเปลี่ยนเป็นวัดศรีธรรมาราม คราบูรณะวัด พร้อมตั้งโรงเรียนศรีธรรมวิทยา พ.ศ.๒๕๐๐ ครั้งพระครูพิศาลศีลคุณ (บุญสิงห์ สีหนาโท) เป็นเจ้าอาวาส

.

เรื่องราวตำนานปฏิบัติการลับพระสุก วัดศรีธรรมาราม จ.ยโสธร ยังคงมีการถกเถียงกันอยู่ในวงสนทนาของผู้ที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์โบราณคดี จนถึงปัจจุบันนี้

 
 
 

Comments


bottom of page