พระราชพิธีอาพาธพินาศเมื่อ ๒๐๐ ปีที่แล้วในรัชสมัยรัชกาลที่ ๒
- สมเกียรติ์ ศรีพธูราษฎร์
- Apr 8, 2020
- 1 min read

⚫️พระราชพิธีอาพาธพินาศ
.
พระราชพิธีอาพาธพินาศนี้ เป็นการอธิษฐานขอพรจากเทพยดาและอานุภาพแห่งคุณพระรัตนตรัย ให้ระงับยับยั้งโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงให้อันตรธานหายไปสิ้น ตามความเชื่อแต่ครั้งพุทธกาลเมื่อเกิดอหิวาตกโรคระบาดที่นครเวสาลี มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ซากศพถูกทอดทิ้งส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งตลบไปทั่ว พระราชาเห็นว่า ควรกราบทูลนิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมานครเวสาลี แล้วภัยทั้งหลายจะสงบไปเอง
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงนครเวสาลีพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป ฝนได้ตกลงมาห่าใหญ่ น้ำฝนไหลนองท่วมพื้นดิน พัดพาเอาซากศพลอยลงแม่น้ำคงคาไปหมด ทำให้พื้นดินบริสุทธิ์สะอาดโดยทั่วไป

พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอานนท์ว่า "..ดูกร อานนท์ เธอจงเรียนรัตนสูตรนี้ แล้วเดินจาริกทำปริตร ไปในระหว่างกำแพงสามชั้นในนครเวสาลี.." แล้วตรัส "รัตนสูตร" ขึ้นในกาลครั้งนั้น ที่เรียกพระสูตรนี้ว่า "รัตนะ" เพราะหมายถึง "พระรัตนตรัย" คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
.
เมื่อพระอานนท์เรียนรัตนสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสประทานแล้ว ได้เอาบาตรศิลาของพระพุทธเจ้า ใส่น้ำถือไปยืนที่ประตูเมือง พลางรำลึกถึงพระคุณทั้งหลายของพระตถาคตเจ้า ตั้งแต่ทรงตั้งความปรารถนาพระโพธิญาณเป็นลำดับมา ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ความเพียร จนถึงทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตนสูตรและโลกุตรธรรม ๙ ประการ แล้วยาตราเข้าไปภายในพระนคร เดินทำพระปริตรไปในระหว่างกำแพงเมือง ๓ ชั้น พอพระเถระเริ่มต้นพระสูตรว่า "ยํ กิญฺจิ" เท่านั้น พวกอมนุษย์ที่ยังไม่หนีไปและเที่ยวหลบซ่อนอยู่ ก็พากันหนีออกทางประตูเมืองทั้ง ๔ เมื่อพวกอมนุษย์หนีกันไปหมดแล้ว โรคภัยไข้เจ็บของชาวเมืองก็สงบลง
.
ครั้นพระอานนท์ทำพระปริตรทั่วพระนครแล้ว ก็กลับมาพร้อมกับชาวเมืองที่หายโรคเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ถวายบังคมแล้วนั่งกันอยู่ พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นมหาชนมาประชุมอยู่พร้อมเพรียงกัน จึงตรัสรัตนสูตรขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อความสุขสวัสดี และเพื่อความระงับไปแห่งอุปัทวันตรายทั้งปวง
.
เมื่อทรงเห็นว่าภัยพิบัติทุกอย่างสงบลงเรียบร้อยแล้ว จึงเสด็จกลับนครราชคฤห์ ในโอกาสนั้น ทั้งมนุษย์ เทวดา พรหม และนาค ต่างพากันมาทำบูชาสักการะถวายแด่พระพุทธเจ้าเป็นการยิ่งใหญ่ นับเป็นมหาสมาคม ซึ่งมหาสมาคมเช่นนี้ ในครั้งพุทธกาลเกิดขึ้นเพียง 3 ครั้งเท่านั้น คือเมื่อคราวพระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จกลับจากโปรดพระพุทธมารดาที่ดาวดึงส์เทวโลก และเมื่อเสด็จจากนครเวสาลีกลับนครราชคฤห์ตามที่กล่าวถึงนี้

⚫️พระราชพิธีอาพาธพินาศเมื่อ ๒๐๐ ปีที่แล้วในรัชสมัยรัชกาลที่ ๒ :
.
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย(รัชกาลที่ ๒) เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่และรุนแรงที่สุดของกรุงรัตนโกสินทร์ นั้นคือ อหิวาตกโรค ห่า ไข้ป่วงใหญ่ ระบาดไปทั่วพระนคร มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากจนเผาศพไม่ทัน
เหตุการณ์ในพระนครฯ ก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก มีกองศพที่สุมกันอยู่ที่วัดต่าง ๆ นอกกำแพงพระนครมีเป็นจำนวนมาก เช่น วัดสระเกศ วัดสังเวชฯ วัดบพิตรพิมุข วัดปทุมคงคา เป็นต้น มีอีแร้งลงมาจิกกินเป็นที่น่าสยดสยองสังเวชใจเป็นยิ่งนัก บ้างก็ลอยกลาดเกลื่อนไปทั่วแม่น้ำลำคลอง โดยเฉพาะที่วัดสระเกศ ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใกล้กำแพงพระนครทางด้านทิศตะวันออกมากที่สุด และเป็นที่ตั้งของ ประตูผี ซึ่งเป็นประตูที่ใช้ขนศพออกจากพระนคร เป็นที่มาของ “แร้งวัดสระเกศ” .. พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย(รัชกาลที่ ๒) ทรงโปรดฯ ให้จัด “พระราชพิธีอาพาธพินาศ” ขึ้น ซึ่งตามพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๒ บันทึกไว้ว่า . “วันจันทร์ เดือนเจ็ด ขึ้น ๑๑ค่ำ ยิงปืนใหญ่รอบพระนครคืนยันรุ่ง แล้วเชิญ #พระแก้วมรกต แลพระบรมธาตุทั้งพระราชาคณะออกแห่โปรยทรายประน้ำปริตทั้งทางบกทางเรือ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงศีล ทั้งพระราชวงศานุวงศ์ที่มีกรมหากรมมิได้ ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายหน้าฝ่ายใน ก็โปรดสั่งมิให้เฝ้า ให้งดกิจราชการเสียมิให้ว่ามิให้ทำ ให้ตั้งใจทำบุญสวดมนต์ให้ทาน
บรรดาไพร่ซึ่งนอนเวรประจำซองรักษาพระราชวังชั้นในและชั้นนอก ก็ให้เลิกปล่อยไปบ้านเรือน โดนทรงพระเมตตาว่า ประเพณีสัตว์ทั่วกัน ภัยมาถึงก็ย่อมรักชีวิต บิดามารดาภรรยาแลบุตรญาติพี่น้องก็เป็นที่รักเหมือนกัน จะได้ไปรักษาพยาบาล…คนโทษที่ต้องเวรจำอยู่นั้นก็ปล่อยสิ้น เว้นแต่พม่าข้าศึก บรรดาประชาราษฎร์ทั้งปวง มีรับสั่งห้ามมิให้ไปเที่ยวฆ่าสัตว์ตัดชีวิต…”
⚫️“อาพาธพินาศ” ซึ่งพระราชพิธีที่เคยมีมาแต่โบราณ และคนส่วนใหญ่เชื่อถือ อาจไม่มีผลทางการแพทย์ แต่ก็จึงช่วยระงับความกังวลใจให้แก่ประชาชนในยามทุกข์ได้บ้าง
.
พระราชพิธีสิบสองเดือน ยังอธิบายถึง “อาฏานาฏิยสูตร” ที่ใช้ในพระราชพิธีอาพาธพินาศว่า
.
“เมื่อภัยเกิดขึ้นเช่นนี้..ก็ไม่มีอะไรเหมาะยิ่งกว่าอาฏานาฏิยสูตร ซึ่งกล่าวมาว่าสำหรับปราบปรามพวกภูตปิศาจไม่ให้ทำร้ายมนุษย์ จึ่งได้คิดตั้งพระราชพิธีให้มีการสวดอาฏานาฏิยปริต แต่ตั้งชื่อว่าอาพาธพินาศตามความต้องการ ให้เปนการที่เย็นใจของชนทั้งปวงซึ่งนับถือพระพุทธศาสนา
.
แต่การพระราชพิธีนั้นเปนการคาดคเนทำขึ้น มิใช่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งสอนไว้ให้ทำสำหรับแก้ไขโรคภันเช่นนี้ จึ่งได้คิดขับไล่ผีเปนการผิดอิกขั้นหนึ่งด้วย เพราะโรคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยผี เกิดขึ้นด้วยดินฟ้าอากาศ แลความประพฤติที่อยู่กินของมนุษย์ ซึ่งเปนสิ่งที่ไม่มีวิญญาจะขับไล่ได้…”
🔴พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาบที่ ๕ ทรงบันทึกถึงคำบอกเล่าในการพระราชพิธีทีทำนี้ว่า
.
การพระราชพิธีอาพาธพินาศพอจะสรุปได้ดังนี้ การเชิญ#พระแก้วมรกตมาตั้งที่พระมณฑลพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในวันแรม ๑๕ ค่ำ เวลาเช้า มีสรงพระมรุธาภิเศกที่ด้านตะวันออกของพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย แล้วแบ่งพระสงฆ์เป็นกลุ่ม มีกระบวนแห่พระพุทธรูปในฝั่งตะวันออก ๓ กระบวนด้วยกัน คือ กระบวนพระแก้ว, กระบวนพระไชย, กระบวนพระห้ามสมุท ข้ามไปฝั่งตะวันตก ให้กรมพระราชวังหลังเป็นผู้จัดกระบวน แต่ละกระบวนมีแห่คล้ายๆ และพระราชาคณะประน้ำมนต์โปรยทราย รวมทั้งกระบวนใช้คน ๑,๑๔๓ คน, พระสงฆ์ ๖๔ รูป
Comments