top of page

พระมหาโอสถะวิชา พระสังฆราชผู้มีแสงสว่างเหมือนกระจกเพราะรัศมีกายสว่างไสว " มหาเถรคันฉ่อง ”

  • Writer: สมเกียรติ์ ศรีพธูราษฎร์
    สมเกียรติ์ ศรีพธูราษฎร์
  • Apr 4, 2020
  • 1 min read

“พระพนรัตน มหาเถรคันฉ่อง” ผู้สอนวิชาคาถาอาคม “พระนเรศวรมหาราช”


พระมหาเถรคันฉ่องเกิดที่ประเทศพม่าสมัยพระเจ้าสิริชัยสุระ(พระเจ้าเมงจีโย)มีเชื้อมอญลูกครึ่งจีนพูดได้ถึง ๔ ภาษาคือ มอญ พม่า ไทย จีน มีนามเดิมว่า “เกี้ยะจ้อง” เมื่อเจริญวัยบิดามารดาพาไปขึ้นพระกัมมัฏฐานกับพระมหาเถรชาวมอญ เรียนพระกัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ท่านจบสมถะและวิปัสสนาตั้งแต่เป็นฆราวาสและเรียนวิชาพิชัยสงคราม เมื่ออายุครบบวชก็ได้อุปสมบทแล้วได้ ๘ เดือน ถึงสมัยพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารชายหนุ่มชาวพม่าชาวมอญต้องไปออกรบ

.

เมื่อพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้สวรรคตแล้วพระเจ้าบุเรงนองปราบดาภิเษกตั้งราชวงศ์ ต่อมา”เกี้ยะจ้อง “ ก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุประมาณ พ.ศ.๒๐๙๓ ปลายรัชสมัยพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ “เกี้ยะจ้อง”ได้บำเพ็ญพระกัมมัฏฐาน ถือวัตรปฏิบัติ อยู่ป่าเป็นวัตร บิณฑบาตเป็นวัตร นุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร อย่างพระป่า ต่อมาท่านเห็นทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ อยากจะช่วยเหลือ ช่วยรักษา จึงตั้งจิตอธิษฐานอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ คืนวันหนึ่งท่านนั่งสมาธิเห็นภิกษุชราโบราณมาบอกให้ไปนำบาตรดินและไม้เท้าเบิกไพรที่ถ้ำแห่งหนึ่งในเขตเมืองมอญ

.

ได้ออกเที่ยวธุดงค์ไปในป่าลึกในเขตเมืองมอญไปที่ถ้ำแห่งนั้นมีเทวดาที่เฝ้าอยู่หน้าถ้ำ เทวดาได้นำเอาบาตรดินโบราณและไม้เท้าเบิกไพรออกมา และได้เรียนวิชาเรียกธาตุทั้ง ๔ ใช้ในการปรุงยาโดยมีพระอาจารย์ในสมาธิเป็นผู้สอน ได้จาริกธุดงค์มาอยู่ป่าใกล้ๆพระธาตุมุเตา ชาวบ้านทราบเรื่องก็มากราบสักการะ



ต่อมาพระนเรศวรทราบเรื่องราวว่ามีภิกษุเก่งกล้าวิชาอาคมมาอยู่ที่ป่ามุเตา พระนเรศจึงขอพระบรมราชนุญาตจากพระเจ้าบุเรงนองเพื่อมาศึกษาพระธรรมกับพระที่อยู่ในป่านั้น พระเจ้าบุเรงนองทรงได้พระราชทานพระบรมชานุญาติ โปรดให้พระนเรศมาเรียนพระธรรมกัมมัฏฐานมัชฌิมาและพระคาถาอาคม “พระเกี้ยจ้อง”สามารถรู้อนาคตว่าพระนเรศจะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา จึงคิดทำน้ำมันว่านยาเมื่อปรุงยาเสร็จ ให้พระนเรศอาบน้ำว่าน เพื่อไว้ป้องกันพระองค์

.

เมื่อสิ้นพระเจ้าบุเรงนองแล้ว พระเกี้ยะจ้องย้ายมาอยู่เมืองแครง กาลต่อมาย้ายเข้ามาอยู่กรุงศรีอยุธยาแล้วได้ศึกษาวิชาในคัมภีร์สติปัฏฐาน วิธีทำสันโดดในทางสมาธิกับพระพนรัต (รอดหรือหลวงปู่เฒ่า)จนสำเร็จ และได้ศึกษาเพิ่มเติมวิชาต่างๆจากปู่เฒ่าด้วย ต่อมาพระเกี้ยะจ้องได้เปลี่ยนนามใหม่ว่า “คันฉ่อง” เป็นภาษาไทยหมายความว่า “ผู้มีแสงสว่างเหมือนคันฉ่อง”(กระจก)เพราะรัศมีกายท่านสว่างไสว)




อีกตำนานกล่าวเรียกท่านอีกนามหนึ่งว่า พระมหาโอสถะวิชาเพราะท่านเป็นผู้รอบรู้ในสมถะ วิปัสสนากัมมัฏฐาน รู้สารพัดว่านยารู้การปรุงว่านยาสูตรต่างๆหรือแม้กระทั่งว่านยาที่ฆ่าพิษปรอท ว่านยาอันชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ น้ำมันว่านยาคงกระพันชาตรีปราศจากโรคาพยาธิทั้งหลาย ต่อมาพระมหาเถรคันฉ่องได้รับสถาปนาจากสมเด็จพระนเรศมหาราช ให้ดำรงตำแหน่งพระสังฆราชฝ่ายซ้าย เจ้าคณะอรัญวาสีที่พระพนรัตนสถิตวัดแก้วฟ้าป่าแก้วคลองตะเคียนอยู่หลังวัดพุทไธศวรรค์ ท่านถือข้อวัตร ๓ อย่าง

.

๑.อยู่ป่าเป็นวัตร ๒.บิณฑบาตเป็นวัตร ๓.นุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ตามแบบอย่างพระมหากัสสปเถรเจ้าและแบบคณะป่าแก้ว พระพนรัตนมหาเถรคันฉ่องพระองค์ท่านสิ้นพระชนม์ในต้นรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวเอกาทศรส

.

ครั้นถึงรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงเปลี่ยนนาม พระพนรัตนเจ้าคณะอรัญวาสีฝ่ายซ้ายเป็นพระวันรัต เจ้าคณะคามวาสีฝ่ายขวาวัดป่าแก้วจึงมาอยู่ในเมือง แล้วตั้งให้พระอริยะโคดมไปครองวัดแก้วฟ้าป่าแก้ว เหลือเพียงชื่อว่า วัดแก้วฟ้าอย่างเดียวแล้วตั้งให้พระพุทธาจารย์วัดโบสถ์ราชเดชะเป็นเจ้าคณะอรัญวาสีฝ่ายซ้าย กราบสักการะรูปเหมือนพระมหาเถรคันฉ่องได้ที่ คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม บางกอกใหญ่ กทม. และวัดสมเด็จนางพญา อ.เมือง จ.พิษณุโลก



🔶 ผงจินดามณี สร้างโดย สมเด็จพระมหาเถรคันฉ่อง(สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว )

ซึ่งมาจากทางมอญ เป็นผู้ถือตำรานั้นไว้ และท่านได้สร้างยาจินดามณีนี้แจกจ่ายแก่ทหารหาญในยุคนั้น ด้วยเพราะ ตัวยา มีคุณวิเศษนานับประการ เชื่อกันว่า ยาจินดามณีนี้มีพุทธานุภาพทุกด้าน ทั้งแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ลาภผลพูนทวี เมตตามหานิยม เปรียบเสมือนยาดำ ซึ่งรักษาได้สารพัดโรคก็ว่าได้

.

ตำรา"พระมหาเถรคันฉ่อง"สมัยอยุธยานี้ ได้ตกทอดต่อมายังสำนักวัด"วัดคงคาราม(ปัจจุบันคือ วัดกลางบางแก้ว)" โดยเป็นผู้ได้รับไว้ และมีการบันทึกไว้คือ พระปลัดทอง เจ้าอาวาส"วัดคงคาราม(ปัจจุบันคือวัดกลางบางแก้ว)"ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่บุญ ในราวรัชสมัย รัชกาลที่ ๓ ในปี พ.ศ. ๒๔๒๙

.


🔷 จากคำบอกเล่าของท่านเจ้าคุณพระพุทธวิถีนายก (หลวงปู่เพิ่ม ปุญญวสโน) วัดกลางบาง แก้วเป็นวัดราษฎร์แต่ เดิมชื่อว่าวัดคงคาราม คนทั่วไปแถบบริเวณนครชัยศรีนี้ มักเรียกว่า วัดกลาง เพราะ ตั้งอยู่ปากคลองบางแก้ว ตำบลปากน้ำ แขวงเมืองนครชัยศรี และตำบลปากน้ำในปัจจุบันเปลี่ยนเป็นตำบลนครชัยศรี ครั้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรม พระยาวชิรญาณวโรรส เสด็จตรวจราชการตามลำน้ำนครชัยศรี (ลำน้ำท่าจีน) ได้เสด็จขึ้นทอดพระเนตรวัดทรงตรัสถามมรรคนายกวัดชื่อนายโป๊ะ ชมภูนิช ทูลว่าชื่อวัดคงคาราม ทรงเห็นว่าเป็นวัดที่อยู่ริมแม่น้ำนครชัยศรีตรงปากคลองบางแก้ว และในละแวกนั้นมีวัดใกล้เคียงอีกสองวัด ซึ่งมี อาณาเขตวัดติดต่อกัน คือด้านทิศใต้ติดต่อกับวัดใหม่สุปดิษฐาราม ด้านทิศตะวันตกติดต่อกับวัดตุ๊กตา จึงได้ทรงประทานชื่อให้ใหม่ว่า “วัดกลางบางแก้ว” ตรงกับสมัยที่พระพุทธวิถีนายก (บุญ ขนฺธโชติ) เป็นเจ้าอาวาสในสมัยนั้น แต่นั้นมาจึงใช้ชื่อวัดกลางบางแก้ว เป็นทางราชการมาจนถึงปัจจุบันนี้

.

🔶 วัดกลางบางแก้ว เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสมัยหลวงปู่บุญ (ท่านเจ้าคุณพระพุทธวิถีนายก บุญ ขนฺธโชติ) ในสมัยรัชการที่ ๓

.

หลวงปู่บุญ เกิด วันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๙๑ ตรงกับปีที่ ๒๕ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ( รัชกาลที่ ๓ ) จน อายุได้ ๑๕ ปี ท่านปลัดทอง เจ้าอาวาส วัดคงคาราม ( วัดกลางบางแก้ว ) จึงได้บรรพชา ให้เป็นสามเณร เพื่อศึกษาคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ โดยมีปลัดปาน ผู้เป็นอุปัชฌาย์ ”

.

ฟังว่า หลวงปู่บุญท่านนั้นได้เล่าเรียนและถ่ายทอดเวทย์วิทยาคมจากพระปลัดปานไว้ได้ ทั้งหมด อภินิหารของท่านปลัดปานมีเรื่องเล่ากันมาว่าท่านมีเมตตาบารมีสูงมากขนาดมี นก กา เหยี่ยว มาอาศัยทำรังอยู่ที่ต้นมะขวิดภายในวัดเต็มไปหมด ถึงเวลาเช้าท่านฉันเสร็จแล้วจะนำอาหารไปให้นกกิน ท่านสามารถเรียกอีกาและเหยี่ยวซึ่งเป็นนกที่ไม่มีความเชื่องได้ง่าย ๆ มาเกาะบนมือแล้วลูบหัวเล่นได้

.

ท่านสำเร็จวิชาทางเรียกเนื้อเรียกปลาคือใช้พระคาถา มหาจินดามณีมนตราคม ได้เชี่ยวชาญเกิดผลศักดิ์สิทธิ์นั้นเอง เพราะท่านสามารถเรียกปลาในคลองบางแก้ว ซึ่งอยู่หน้าวัดให้ขึ้นมาเต็มไปหมดในงานกฐินเพื่อให้ชาวบ้านได้ชมกัน นับว่าท่านเป็นเถราจารย์ที่น่าศึกษามากอีกองค์หนึ่งเสียดายที่คนเก่า ๆ ที่พอจะรู้เรื่องดีได้สูญสิ้นไปหมดแล้ว

.

ดังนั้นการศึกษาทางด้านวิปัสสนาธุระและ เวทย์วิทยาคมของหลวงปู่บุญนั้น ท่านจึงได้รับการถ่ายทอดจากท่านปลัดทอง และปลัดปานเป็นหลัก และนับว่าหลวงปู่เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ทางนี้โดยตรง เพราะเล่ากันว่าท่านสามารถทำของได้ศักดิ์สิทธิ์ และเชี่ยวชาญทางวิปัสสนาธุระตั้งแต่อายุยังน้อย

.

🔷 ที่ขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของหลวงปู่บุญคือ ผงยาจินดามณี :

.

ซึ่งเป็นยาทางพุทธคุณ เป็นตำรามีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ผู้ซึ่งเป็นพระเถระอาจารย์ฝ่ายสงฆ์ที่สมเด็จพระนเรศวรเลื่อมใสศรัทธามาก เป็นผู้ถือตำรานั้นไว้ และท่านได้สร้างยาจินดามณีนี้ แจกจ่ายแก่ ทหารหาญในยุคนั้น ด้วยเพราะ ตัวยา มีคุณวิเศษนานัปการ สูตรนี้ได้บันทึกไว้ในสมุดข่อย ลงทองล่องชาดไว้ถือเป็นสมบัติล้ำค่าของวัด ต่อมาตำรานี้ได้ตกทอดสู่”หลวงปู่บุญ”เจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว และท่านได้สร้างยาจินดามณีตามตำรับโบราณ แจกจ่ายแก่ศิษย์ในยุคนั้น จนมีเรื่องราวเล่าขานถึงคุณวิเศษของยาจินดามณีไม่รู้จบมาจนถึงทุกวันนี้

.

ตามประวัติว่ากันว่า หลวงปู่บุญ ท่านสร้างยาจินดามณีเพียง สองครั้งเท่านั้นในชั่วชีวิตของท่าด้วยเพราะการสร้าง ตามตำรับโบราณนั้นทำได้อย่างยากยิ่ง

.


คุณวิเศษของผงยาจิดามณีมหาเถรคันฉ่อง ถ่ายมาสู่หลวงปู่บุญ สืบทอดโดยหลวงปู่เพิ่มและหลวงปู่ทองอยู่ ว่ากันว่าหลวงปู่บุญ ท่านทำพิธีครอบครูตำราการสร้างยาจินดามณี ให้แก่ศิษย์เอกคือ หลวงปู่เพิ่ม และ หลวงปู่ทองอยู่ วัดท่าเสา(ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของหลวงปู่บุญและท่านยังมีศักดิ์เป็นศิษย์ผู้น้องของหลวงปู่เพิ่ม )สิ้นหลวงปู่เพิ่มกับ หลวงปู่ทองอยู่ไป ก็ไม่แน่ใจว่าใครได้รับสืบทอดวิชานี้ไปอีก ซึ่งปัจจุบันทั้ง ๒ องค์ได้มรณภาพไปแล้ว คงหาคนสืบทอดที่รู้อย่างแท้จริงได้ยาก

.



 
 
 

Comments


bottom of page