'พระ' แต่ดั้งเดิมไม่ได้เอาไว้ 'ห้อยคอ'
- สมเกียรติ์ ศรีพธูราษฎร์
- Apr 14, 2020
- 1 min read

เวลาประสบอุบัติเหตุส่วนมากกว่าการถามว่า :
รอดมาได้ยังไง... ! แขวนพระอะไร... !

🔵🔵'พระพิมพ์'
การ “ห้อยพระดี – เกจิดัง” เป็นธรรมเนียมมาแต่เมื่อไหร่ไม่แน่ชัด แต่หากย้อนไปในอดีตการสร้างพระองค์เล็กๆ แบบนี้มีมานานนับพันๆ ปีแล้ว หลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน เรียกพระองค์เล็กๆ แบบนี้ว่า “พระพิมพ์”
.
พระพิมพ์โบราณจำนวนมาก มักจารึก “คาถาเย ธมฺมา” และข้อความเกี่ยวกับอริยสัจสี่ อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนาลงไปบนพื้นผิว และก็ฝังเอาไว้ตามเจดีย์ต่างๆ เวลาที่มีคนไปขุดค้นพบในยุคหลังๆ ก็เรียกกันว่า “กรุแตก” นั่นแหละ ยกตัวอย่างเช่น “พระเม็ดกระดุมศรีวิชัย” พระพิมพ์ดินเผาอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 หรือช่วงระหว่างปี พ.ศ. 1101-1300 ที่พบในวัดเขาศรีวิชัย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พระดินเผากรุนี้ก็จารึกพระคาถาเย ธมฺมา เป็นภาษาปัลวะ ว่ากันว่ามีการค้นพบร่วมสองพันองค์เลยทีเดียว
🔴🔴“พระ” แต่ดั้งเดิมไม่ได้เอาไว้ “ห้อยคอ”
คาถาเย ธมฺมา บนพระพิมพ์ดินเผา “พระเม็ดกระดุมศรีวิชัย” วัดเขาศรีวิชัย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ที่มาภาพจาก ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร)
.
การสร้างพระพิมพ์แบบนี้ สาระหลักมาจากความเชื่อเรื่อง “ภัทรกัป” หรือยุคพระเจ้าห้าพระองค์ อธิบายกันแบบซื่อๆ ก็คือ เชื่อกันว่ายุคนี้มีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ยุคสมัยของแต่ละองค์จะมีอายุพระศาสนามากน้อยต่างกันไป โดยในส่วนของ “พระสมณโคดม” หรือพระพุทธเจ้าในยุคของเรามีอายุพระศาสนาอยู่ที่ ๕,๐๐๐ ปี
.
คนโบราณเขาเกรงกันว่าถ้าหมดอายุพระศาสนาแล้ว หลักธรรมต่างๆ จะเสื่อมสูญหายไปหมด เลยต้องทำหลักฐานเอาไว้ด้วยการทำพระฉายา หรือรูปลักษณ์พระพุทธเจ้า รวมถึงสลักหลักธรรมเอาไว้ด้วย หวังว่าคนในยุคต่อไปมาค้นพบจะได้รู้จักหลักธรรม และฟื้นฟูศาสนาขึ้นใหม่
.
ด้วยเหตุนี้ พระพิมพ์ในยุคโบราณ เขาจึงไม่ได้ทำไว้แขวนคอกัน แต่ทำไว้เพื่อสืบต่อพระศาสนา ซึ่งการสืบต่อศาสนานั้นถือเป็นการสร้างบุญอย่างหนึ่ง ทำให้การสร้างพระพิมพ์ยุคถัดๆ มา มีเป้าหมายเพื่อการสร้างกุศล หรืออุทิศบุญให้ผู้วายชนม์ด้วย เช่น พระพิมพ์ดินเผานาดูน สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ค้นพบที่วัดโนนศิลา บ้านฝายหิน อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น มีจารึกสลักเอาไว้มีว่า ขุนนางผู้หนึ่งได้ร่วมกับสหาย ทำบุญด้วยการสร้างพระพิมพ์องค์นี้ขึ้น ขณะที่ศิลาจารึกวัดบางสนุก จ.แพร่ บรรยายผู้คนยุคสุโขทัยว่ามีการพิมพ์พระด้วยดีบุกและดิน เพื่อบำเพ็ญกุศล
.
จารึกภาษาปัลวะหลังพระพิมพ์ดินเผานาดูน แหล่งวัดโนนศิลา บ้านฝายหิน อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น (ที่มาภาพจาก ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร)
⚫️⚫️ห้อยพระกันเมื่อไหร่ ?
ในเอกสารประเภทพงศาวดาร และวรรณคดีต่างๆ เราจะเห็นว่าการรบทัพจับศึกแต่ละครั้ง มีกล่าวถึงวิชาทางไสยศาสตร์คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด ล่องหนหายตัว มหาอุด ฯลฯ ขณะที่เครื่องรางโดยมากมักกล่าวถึง ผ้าประเจียด, ยันต์, คด, มงคล ฯลฯ โดยส่วนตัวผู้เขียนเองด้อยประสบการณ์ยังอ่านไม่เจอพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับไหน พูดถึงการพกเครื่องรางประเภท “พระพิมพ์-พระเครื่อง”
.
ขณะที่อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม นักมานุษยวิทยาอาวุโส เคยแสดงความเห็นไว้ในหนังสือ “พระเครื่องในเมืองสยาม” ว่า คนสมัยก่อนไม่น่าจะห้อยพระไว้กับตัว เพราะถือกันว่าพระฉายาของพระพุทธเจ้าเป็นของสูง ไม่ควรจะมาอยู่กับคนหรืออยู่ในบ้าน เพราะพาลเป็นอัปมงคล ควรแต่จะไว้ในวัดเท่านั้น
🔵🔵คำถามว่า “แล้วพระเครื่องมาแขวนกันตอนไหน” จึงเป็นคำถามที่น่าสนใจ แต่ก็หาคำตอบได้ยากที่สุด ส่วนตัวผู้เขียนสันนิษฐานเอาเองว่าน่าจะเริ่มมีการพกพาพระเครื่องอย่างน้อยตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ โดยวัดเอาจากเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนที่แต่งขึ้นราวสมัยรัชกาลที่ 2 เพราะในตอนขุนช้างไปตามนางวันทองคืนจากขุนแผน มีบทบรรยายการแต่งองค์ทรงเครื่องของขุนช้าง ประโคมของดีจนเต็มตัว ซึ่งในนั้นมีการกล่าวถึงการอม “พระภควัม” หรือพระปิดตา ไว้ในปากเพื่อความจังงังด้วย
ลูกไข่ดันทองแดงกำแพงเพชร
ไข่เป็ดเป็นหินขมิ้นผง
ตะกรุดโทนของท่านอาจารย์คง
แล้วอมองค์พระคะวำลํ้าจังงัง
Comments